44. กฏแห่งแรงดึงดูด

กฏแห่งแรงดึงดูด
พระพุทธองค์ ทรงสอนพวกเราว่า....

1.ไม่ว่าเราได้พบเจอใคร เขาเหล่านั้น คือคนที่เราจะต้องได้พบเจอ ไม่มีใครเข้ามาในชีวิตเรา ด้วยเหตุบังเอิญ 

2.ไม่ว่าจะเกิดเรื่องราวใดๆ ขึ้นในชีวิตเรา มันเป็นเรื่องที่จะต้องเกิด ไม่ว่าเรื่องนั้นจะดีหรือร้าย เราต้องยอมรับมัน ไม่มีเรื่องใดที่บังเอิญ เพราะเราเคยทำแบบนี้กับเขามา เมื่ออดีตชาติปางก่อน

3. เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น เกิดเมื่อไหร่ ที่ไหน เวลาใด นั่นคือเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรที่ไม่ควรเกิด เพราะมันต้องเกิด ต่อให้คุณเตรียมตัวหรือไม่ได้เตรียมตัว เมื่อปัจจัยพร้อม สิ่งเหล่านั้นก็ต้องเกิดขึ้

4. เมื่อปัจจัยจบ ต้องยอมรับว่าจบ อย่าเหนี่ยวรั้ง อย่าอาลัยอาวรณ์ ขอให้รู้ว่า เมื่อสุดมือสอย ก็ต้องปล่อยมันไป และกล้าเผชิญในสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะมีเรื่องดีๆ กำลังรอคุณอยู่ข้างหน้าเสมอ

5. ทำความดี ในปัจจุบันให้มากที่สุด โดยไม่ต้องสนใจว่า เราเคยทำกรรมอะไรในอดีตมาบ้าง เพราะคิดไปก็เปล่าประโยชน์ เราทำอะไร กับกรรมเก่าไม่ได้แล้ว....แต่ผู้มีปัญญาเท่านั้น จะรู้ว่ากรรมใหม่ดีๆ มีอะไรที่ยังไม่ได้ทำ และควรทำทันที ...

สรุปคือ หมั่นทำกรรมดี ในปัจจุบัน นั้นสำคัญที่สุด


Credit : https://www.facebook.com/lazar.markovic555

43. "11 คำพูดจาก Disney" สอน “บทเรียนชีวิต” ให้กล้า "เปลี่ยนแปลง"

1. การหัวเราะใส่ตัวเอง คือการรักตัวเอง – Mickey Mouse
.
2. ลองก้าวออกมาจากจุดที่คุณรู้สึกสบายและปลอดภัยสิ รางวัลมันคุ้มค่า แน่ๆ – Rapunzel
.
3 อะไรก็ตามที่พยายามดึงคุณลง สุดท้ายมันจะทำให้คุณแกร่งขึ้น
และก้าวไปสู่จุดที่สูงขึ้น – Timothy Mouse
.
4. คุณควบคุมโชคชะตาคุณเอง คุณไม่จำเป็นต้องใช้เวทมนตร์ใดๆ ทั้งสิ้นหรอก เพราะมันไม่มีเวทมนตร์ใดๆ ที่ช่วยแก้ปัญหาให้คุณได้ ยกเว้นตัวคุณเอง – Merida
.
5. แน่นอนว่าอดีตมันโหดร้าย แต่คุณสามารถทำได้ 2 อย่างคือ วิ่งหนีมัน หรือ เรียนรู้จากมัน – Rafiki
.
6. เมื่อชีวิตของคุณตกต่ำลง คุณรู้หรือไม่ว่าคุณควรทำอะไร…
ก็ว่ายน้ำต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ยังไงล่ะ – Dory
.
7. คุณไม่ควรให้ใครกำหนดขีดจำกัดของคุณเพียงเพราะสาเหตุว่าคุณ เป็นใคร มาจากไหน ขีดจำกัดอยู่ที่จิตใจของคุณเองที่เป็นตัวกำหนด – Gusteau
.
8. เรื่องราวในเทพนิยาย เกิดขึ้นได้จริง เพียงแค่คุณต้องลงมือทำ
ให้มันเกิดขึ้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณ – Tiana
.
9. ดอกไม้ที่ขึ้นท่ามกลางความลำบาก หรือภัยพิบัติ คือดอกไม้ที่หายาก และสวยงามที่สุดแล้ว – The Emperor
.
10. บางทีคุณคิดว่าทุกคนเป็นเหมือนคุณ คิดเหมือนคุณหมด แต่ถ้าคุณ ลองเดินตามเส้นทางของคนแปลกหน้าดู คุณจะได้รู้เรื่องราวที่คุณไม่เคยรู้อีกมากมาย – Pocahontas
11. ไม่ว่าคุณจะเศร้าโศกแค่ไหน ถ้าคุณไม่หยุดที่จะเชื่อ วันหนึ่ง
ความฝันของคุณจะเป็นจริง”– Cinderella
.
.
เครดิตบทความจาก : http://goo.gl/b2JubV

42. คิดให้ต่างอย่างมหาเศรษฐี


ข้อแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดเกี่ยวกับความคิดเห็นเรื่องเงินทอง ระหว่างมหาเศรษฐีที่มีความสุขกับคนทั่วไป คือ คนปกติทั่วไปจะทำแค่เพียงทำงานหาเงิน แล้วนำมาเก็บออม โดยมุ่งเน้นไปที่การทำงานหาเงินให้ได้มากๆ ส่วนมหาเศรษฐีที่มีความสุขไม่คิดเช่นนั้น แต่พวกเขากลับหันไปใส่ใจเรื่องการใช้เงินและการทำเงินให้งอกเงยแทน

ขั้นตอนที่ 1 ใช้เงินให้ถูกต้อง
มหาเศรษฐีทั้งหลายมักจะให้ความสำคัญกับการหาความรู้ใส่ตัว ดังนั้น หากคุณไม่แน่ใจว่าควรจะใช้เงินไปกับเรื่องใด ทำไมไม่ลองเริ่มจากการเข้าร่วมสัมมนาที่รู้สึกสนใจดูล่ะ อย่าเสียดายเงินและเวลาที่ใช้ไปเพื่อการเรียนรู้เลย
ขั้นตอนที่ 2 เปิดหนังสือ ปิดโทรทัศน์
มหาเศรษฐีที่มีความสุขหลายต่อหลายคนรักการอ่าน เพราะการอ่านเป็นสิ่งที่ช่วยให้พวกเขาเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ได้ง่ายที่สุด โดยเฉพาะหนังสือประวัติศาสตร์ที่ช่วยสอนอะไรต่างๆ ได้มากมาย ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นคือ มหาเศรษฐีจำนวนมากไม่นิยมดูโทรทัศน์ยกเว้นการดูข่าว ด้วยเหตุผลที่ว่า เสียเวลาโดยใช่เหตุ ในทางตรงกันข้าม พวกเขากลับยินดีที่จะใช้เวลาไปกับกิจกรรมที่จะช่วยเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้นเช่น การอ่าน อย่างเต็มที่
ขั้นตอนที่ 3 อย่าตกกระแส
อย่าปฏิเสธเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ๆ การรับความรู้ความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยอย่างว่องไว ช่วยให้ปรับเปลี่ยนวิธีทำธุรกิจของตัวเองได้อย่างทันท่วงทีในทุกสถานการณ์ ส่วนการปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับยุคสมัยเก่าๆ นั้น คือลักษณะของมหาเศรษฐีที่ไร้ความสุข ดังนั้น อย่าลืมที่จะติดตามข้อมูลข่าวสารล่าสุดตลอดเวลา
ขั้นตอนที่ 4 ละเอียดรอบคอบเสมอกับเรื่องเงิน
เรียนรู้เกี่ยวกับ ความถูกต้องในการซื้อขายแลกเปลี่ยน เพราะการซื้อขายแลกเปลี่ยนใดๆ ก็ตามล้วนจำเป็นต้องมีกฎ คนที่คิดง่ายๆ ว่า “เงินแค่น้อยนิดเท่านั้น ช่างมันเถอะ” อีกหน่อยจะกลายเป็นคนใช้เงินมือเติบจนเสียเงินก้อนโตไปโดยไม่รู้ตัว อย่าลืมว่า แม้จะเป็นเงินจำนวนไม่มาก แต่ก็ต้องรอบคอบเสมอเมื่อเป็นเรื่องเงิน
ขั้นตอนที่ 5 อย่าลืมกฎเหล็กของการใช้จ่าย
กฎในการใช้จ่ายสำหรับคนที่เป็นมหาเศรษฐีคือ สิ่งนั้นต้องมีมูลค่าเหมาะสมกับจำนวนเงินที่จะจ่าย คนส่วนใหญ่มักจะไม่ฉุกคิดถึงเรื่องนี้เพราะความคุ้นเคยอยู่กับการถูกจำกัดด้วยบริการแบบกำหนด (ราคา) เองแต่เพียงฝ่ายเดียวของผู้ให้บริการ ดังนั้นพึงระลึกเสมอว่า จงจ่ายเงินให้กับสิ่งที่มีมูลค่าคู่ควร
ขั้นตอนที่ 6 อ่านคนได้ด้วยการจ่ายเงินค่าอาหาร
ในการทานอาหารร่วมกันเป็นครั้งแรก มหาเศรษฐีส่วนใหญ่มักจะอยากให้ทุกคนจ่ายค่าอาหารส่วนของตัวเอง (แชร์เท่าๆ กัน) และหลังจากนั้นพวกเขาจึงจะยินดีเป็นฝ่ายเลี้ยง ที่เป็นแบบนี้เพราะ ข้อแรกคือ เพื่อคัดกรองคนที่เข้าหาตนเพื่อหวังผลประโยชน์ อีกข้อคือ เป็นการทดสอบความจริงใจของอีกฝ่ายว่าพร้อมที่จะลงทุนเพื่อให้ได้ใช้เวลาร่วมกับตนหรือไม่
ขั้นตอนที่ 7 หนีให้พ้นจากชีวิตที่ถูกครอบงำ
การบริหารจัดการทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตด้วยตัวเอง แม้กระทั่งค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ ภายในบ้าน คือแนวทางของมหาเศรษฐี คนจำนวนไม่น้อยฝากชีวิตตัวเอไว้กับพ่อแม่จนกระทั่งถึงวัยทำงาน จากนั้นก็ฝากชีวิตไว้กับเงินเดือนที่ทางบริษัทให้เป็นค่าตอบแทน และหลังเกษียณก็ฝากชีวิตไว้กับเงินบำนาญ
การมัวแต่พึ่งพาเงินที่คนอื่นหยิบยื่นให้เช่นนี้จะทำให้ชีวิตต้องตกอยู่ภายใต้การถูกครอบงำตลอด และยากที่จะมีอิสรภาพทางการเงิน ซึ่งการจะผลักดันตัวเองให้พ้นจากสภาพดังกล่าว คุณจำเป็นจะต้องรู้จักกำหนดรายรับรายจ่ายของตัวเองให้ได้ราวกับว่าขณะนี้คุณกำลังบริษัทหารบริษัทหนึ่งบริษัท จงคิดให้เหมือนผู้บริหาร
นี่เป็นส่วนหนึ่งในมุมมองของมหาเศรษฐีที่ต่างจากคนทั่วไป ที่ไม่เสียหลายหากเราจะเปลี่ยนมุมมองคิดให้ได้อย่างมหาเศรษฐี เพื่อจะเป็นมหาเศรษฐี


ที่มา : หนังสือ ความลับเศรษฐี คนแบบนี้แหละดึงดูดเงิน โทนี่ โนะนากะ สำนักพิมพ์อัมรินทร์ฮาวทู

41. 5ข้อที่ก่อนอายุ 30 ต้องมี ถ้าไม่อยาก "ลำบากตอนแก่”


1. ต้องมีที่มารายได้ที่แน่นอนและต่อเนื่อง
.
ไม่ว่าจะเป็นงานประจำ งานอิสระ หรือธุรกิจส่วนตัว อย่างน้อยต้องเป็นสิ่งที่สามารถสร้างรายได้ประจำให้คุณได้อย่างสม่ำเสมอ การมีที่มาที่ไปของการเงินที่แน่นอนนั้น ทำให้คุณเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือในแง่ของหลักฐานการเงิน โดยเฉพาะเมื่อต้องยื่นกู้สินเชื่อต่างๆ กับธนาคารเพื่อการสร้างเนื้อสร้างตัว เมื่อคุณมีอายุ 30 และมีความมั่นคงทางการงานและการเงินแล้ว คุณจะมีรากฐานชีวิตที่แน่นเพียงพอ และพร้อมก้าวเดินสู่วัยเลข 4 อย่างมั่นคง
.
2. ต้องเตรียมเงินเก็บไว้ยามฉุกเฉิน
.
นับตั้งแต่เราเกิด ก็คือการนับเวลาถอยหลังสู่ความชรา ดังนั้นเมื่อ “อายุเพิ่ม” ก็เหลือเวลาหาเงิน “ลดลง” การสร้างเป้าหมายในการเก็บเงินและมีวินัยในแต่ละเดือนตั้งแต่อายุ 30 จะทำให้คุณประหลาดใจกับเงินก้อนที่เก็บได้ นอกจากการเก็บเงินแล้วคุณควรหาวิธีทำให้เงินเก็บงอกเงยขึ้นเพื่อต่อยอดต่อไป ซึ่งเมื่อถึงภาวะคับขัน เช่น เจ็บป่วย เกิดอุบัติเหตุ หรือครอบครัวตกยาก คุณก็พร้อมรับมือและช่วยเหลือคนใกล้ตัวได้ทันท่วงที
.
3. ต้องเริ่มรู้จักการบริหารหนี้
.
“ความไม่มีหนี้ คือ ลาภอันประเสริฐ” ซึ่งหากพูดถึงคำว่าหนี้แล้ว หนี้จะมีอยู่ 2 ลักษณะด้วยกันคือ “หนี้ดี” กับ “หนี้ไม่ดี” การบริหารหนี้ ถือเป็นทักษะที่คุณควรสนใจศึกษาและมีวินัยตั้งแต่เนิ่นๆ และเป็นหนี้ “เมื่อพร้อมมีภาระในระยะยาวเท่านั้น” ซึ่งหนี้ที่ก่อก็ควรเป็น “หนี้ดี” เท่านั้น เช่น บ้าน ที่ดิน หรือ ซื้อธุรกิจเพื่อต่อยอด ซึ่งภาระหนี้ควรสอดคล้องกับรายได้ของคุณ นั่นคือ ไม่ควรเกินกว่า 50% ของรายได้ประจำ
.
4. ต้องซื้อบ้านก่อนซื้อรถ
.
ยิ่งซื้อบ้านเร็วตั้งแต่ก่อนอายุ 30 ปีมีแต่ได้เปรียบ ทั้งในเรื่องระยะเวลาการผ่อนที่ได้มากกว่า ยอดการผ่อนที่น้อยกว่า และมูลค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้นทุกปี การกู้ซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงอายุก่อน 30 ปีนั้น แม้คุณอาจจะต้องจ่ายค่าผ่อนบ้านทุกๆ เดือน แต่ความเป็นเจ้าของที่คุณมีจะมาถึงเร็วกว่าคนอายุ 40 ปี จากเงินต้นที่หักหนี้ไป รวมถึงมูลค่าบ้านและที่ดินที่สูงขึ้นในแต่ละปี แต่การซื้อรถนั้น มีแต่จะ “ลดมูลค่า” ตามความเสื่อมและมีค่าใช้จ่ายเป็นเบี้ยหัวแตกไปกับค่าน้ำมันและค่าบำรุงรักษาตลอดการใช้งาน
.
5. ต้องคิดคูณสองเรื่องครอบครัว
.
ปัจจุบันแม้จะเป็นเทรนด์ที่คนอาจจะแต่งงานมีครอบครัวกันช้า แต่การบริหารการเงินและชีวิตมากกว่า 2 คนขึ้นไปโดยเฉพาะเมื่อมีบุตรด้วยแล้ว “ไม่ใช่เรื่องง่าย” และมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ดังนั้นการเตรียมพร้อมเรื่องการเงินจึงควรวางแผนตั้งแต่คุณอยู่ตัวคนเดียว วิธีคิดคือคุณควรใช้ชีวิตก่อนวัย 30 ปี ด้วยการคิดคูณสองในทุกๆ มิติ เช่น การเก็บเงิน การซื้อที่อยู่อาศัย การซื้อรถ และการก่อหนี้ เพราะเมื่อถึงวัย 30 และคุณมีการวางแผนชีวิตในด้านต่างๆ ที่ดี คุณก็พร้อมที่จะดูแลคู่ชีวิตและเลี้ยงดูครอบครัวด้วยความมั่งคง
.
“อายุไม่ใช่แค่ตัวเลข” ต้องรีบวางแผนชีวิตของคุณ ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณควรทำและไม่ควรหลีกเลี่ยง
.
แหล่งที่มา Time Pexels
ขอบคุณผู้แปล yengobuzz.co

Credit : https://www.facebook.com/100lanfan

40. วิธีคิด .. แบบนักธุรกิจอายุน้อยที่ประสบความสำเร็จ

ในสังคมยุคปัจจุบัน .. ทุกคนให้ความสนใจในการประกอบอาชีพนักธุรกิจด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นวัยหนุ่มสาว หรือวัยผู้ใหญ่ ต่างก็หันมาประกอบธุรกิจด้วยกันทั้งนั้น เพราะทุกการทุ่มเทแรงเงิน แรงกาย ความคิดและไอเดียต่าง ๆ สามารถสร้างผลตอบแทนกลับคืนสู่ตนเอง ซึ่งอาจจะได้มากน้อยก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ดังนั้น การประกอบอาชีพนักธุรกิจจึงเป็นแนวทางใหม่และท้าทายกลุ่มคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน
จากมุมมองวิธีคิดที่ว่า นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในอดีตนั้น คือ การก่อร่างสร้างตัวจากศูนย์ถึงร้อย จากร้อยถึงพัน ถึงหมื่นและถึงล้าน ซึ่งอาจจะต้องใช้ระยะเวลายาวนานพอสมควร และธุรกิจมักประสบความสำเร็จเมื่อเป็นวัยผู้ใหญ่จนถึงวัยสูงอายุ แต่มุมมองและวิธีคิดแบบเก่าหมดไป
เพราะในตอนนี้สังคมปัจจุบันนั้นภาพแห่งความสำเร็จกลับกลายเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ ที่มีอายุน้อย มีแนวคิด ความเป็นตัวของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งกลุ่มคนวัยหนุ่มสาวที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ต่างมีการสร้างแบรนด์ของตนเอง สร้างธุรกิจที่เติบโตแบบก้าวกระโดด บ้างก็จากร้อยสู่ล้าน บ้างก็จากศูนย์สู่ล้าน แต่หากลองสังเกตแล้วล่ะก็ พวกเขาเหล่านั้นมีวิธีคิด แนวความคิดที่คล้ายคลึงกัน และก้าวไปสู่การประสบความสำเร็จเหมือนกัน มาดูกันสิคะว่า

แนวความคิดแบบนักธุรกิจอายุน้อยเป็นอย่างไร

รวดเร็ว 
ในปัจจุบันนั้นการทำธุรกิจต้องมีความรวดเร็ว สะดวกไปกับเหตุการณ์ที่หมุนผ่านไป ในรูปแบบการติดต่อสื่อสารในช่องทางต่าง ๆ ที่อาศัยความรวดเร็ว เพราะการติดต่อซื้อขาย การสั่งของ การรับของก็ได้มีการพัฒนารูปแบบและวิธีการให้สอดคล้องตามไปด้วย การสำรวจว่าตอนนี้ตลาดเป็นอย่างไร กลุ่มลูกค้าที่สนใจ สินค้าที่กลุ่มเป้าหมายสนใจ หากมีความรวดเร็วแล้วล่ะก็ช่องทางในการทำเงิน ช่องทางในการประกอบธุรกิจก็ทำได้ไม่ยาก
ไม่หยุดนิ่ง
จะเห็นได้ว่านักธุรกิจรุ่นใหม่หลายคนที่อายุยังน้อย ไม่เคยมีใครสักคนที่หยุดนิ่งอยู่กับที่ จะมีการพัฒนาสินค้า บริการ และการโฆษณาประชาสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้การพัฒนาสินค้าที่มีตัวเลือกให้กับผู้บริโภคอย่างหลากหลาย เพื่อเพิ่มช่องทางในการตัดสินใจ ก็เป็นแนวทาง เป็นกลยุทธ์หนึ่งในการทำการตลาดของนักธุรกิจยุคใหม่ การขายสินค้าเดิม ๆ กลุ่มคนเดิม ๆ ก็มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบวิธีการ และการนำเสนอเพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ  การปรับเปลี่ยนแพคเกจ บรรจุภัณฑ์ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ได้รับการต่อยอดมากกว่าสินค้าแบบเดิม ๆ ที่เคยทำมา
ฝันให้ใหญ่
แน่นอนอยู่แล้วค่ะว่า การทำธุรกิจของกลุ่มนักธุรกิจสมัยใหม่นั้น บางรายเริ่มจากศูนย์ เริ่มต้นคิดและลงมือทำสินค้าใหม่ ๆ แบรนด์ใหม่ ๆ เพื่อขึ้นมาตีตลาด เข้ามาเป็นคู่แข่งกับสินค้าที่เคยมีวางขาย รวมไปถึงสินค้าที่ยังไม่เคยวางขายในปัจจุบัน เพื่อให้กลุ่มลูกค้าเพิ่มตัวเลือกและช่องทางในการตัดสินใจ
การค้าขายรูปแบบใหม่ที่เปลี่ยนช่องทางในการติดต่อ นำเสนอ และทุกธุรกิจต่างก็มีเป้าหมายเพื่อให้สินค้า บริการที่ผลิตขึ้น ที่สร้างขึ้น มีบทบาทและเป็นสินค้าที่วางขายในปัจจุบัน อาจจะมีหน้าร้าน ตัวแทนจำหน่าย หรือในบางรายอาจจะจำหน่ายและส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ
ทำสิ่งที่ปรารถนา
หลายครั้งที่นักธุรกิจยุคเก่าทำในธุรกิจของตนที่สร้างมา คือ การส่งต่อรุ่นสู่รุ่น จากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก แต่สำหรับนักธุรกิจอายุน้อย และนักธุรกิจแนวใหม่ทำนั่นก็คือ การทำในสิ่งที่ตนรัก และทำออกมาในรูปแบบสินค้าและบริการ เพื่อให้สินค้าเพื่อให้กลุ่มคนที่ชอบสินค้าและบริการที่มีความคิดแนวเดียวกัน ชอบเหมือนกัน มากไปกว่านั้นที่เป็นผลดีของธุรกิจคือ เมื่อได้ทำในสิ่งที่รัก สิ่งที่ชอบ ก็จะสามารถทำสิ่งนั้นออกมาได้เป็นอย่างดี มีความมุ่งมั่น ตั้งใจในการทำ มากกว่ารูปแบบธุรกิจแบบเดิม ๆ
ไม่กลัวที่จะล้มเหลว
ความล้มเหลว การไม่ประสบความสำเร็จ เจ๊ง ยอดขายตก เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ จนทำให้ใครหลายคนย่อท้อในขั้นตอนนี้ไปมาก และล้มเลิกความคิดในการประกอบธุรกิจเลยก็ว่าได้ แต่สิ่งนี้คงใช้ไม่ได้กับกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ เพราะความล้มเหลวเปรียบเสมือนอุปสรรคที่ขวางตรงหน้า หากการก้าวข้ามและผ่านพ้นไปได้คือ ความแข็งแกร่ง สิ่งหนึ่งที่มีในตัวของกลุ่มคนรุ่นใหม่ คือ ความท้าทาย ดังนั้นการทำธุรกิจแล้วประสบปัญหาก็เปรียบเสมือนความท้าทาย ที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับวิธีคิดแบบนักธุรกิจอายุน้อยที่คิด และลงมือทำ ลองผิดลองถูก จนประสบความสำเร็จ และหากในตอนนี้คุณกำลังมีไอเดีย มีความฝัน ขอเพียงแค่ลงมือทำ และก็ลองนำแนวคิดของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแบบข้างต้นมาประยุกต์และปรับใช้กันดูนะคะ เผื่อไอเดียใดที่สามารถทำเงินและประสบความสำเร็จได้ คุณก็อาจจะก้าวไปสู่หนทางในการประสบความสำเร็จและเป็นนักธุรกิจอายุน้อยคนใหม่ก็ได้นะคะ

39. 17 วิธี ออมเงินง่ายๆ อย่างฉลาดได้ผลจริง

สวัสดีค่ะวันนี้เรามารู้จักกับ วิธีออมเงินง่ายๆ อย่างฉลาด สำหรับมนุษย์วัยทำงาน หรือแม้แต่น้องนักศึกษา ก็ล้วนอยากมีรายได้เยอะๆ อยากมีเงินเก็บในบัญชีเท่านั้น เท่านี้ แต่ทำไมหนอ เราถึงยังไม่รวยกับเขาสักที เห็นคนอื่นเขาฝากเงินกันโครมๆๆ แต่ของเรากว่าจะผ่านไปแต่ละเดือนได้ช่างลำบากลำบน วันนี้เรามาหาแนวทางแบบง่ายๆ แต่ได้ผลจริงกันเถอะ

วิธีออมเงินง่ายๆ อย่างฉลาด

1. วิธีออมเงิน เริ่มแรกเรามาตั้งเป้าหมาย ก่อนว่าจะเก็บเงินให้ได้เท่าไหร่ เช่น เดือนละ 2,000 บาท หรือ 5,000บาท ก็แล้วแต่แต่ละคนนะคะ
2.วิธีการออม แบบเก็บเหรียญ 5 หรือเหรียญ 10 บาท หรือแบงค์ 20 บาท : วิธีนี้เป็นการออมแบบง่ายสุด น้องๆนักเรียน นักศึกษาที่ยังมีรายได้ไม่มากก็ทำได้ หรือพี่ๆ ที่ทำงานแล้วจะเลือกแบบไหน หรือเก็บควบคู่กันก็ได้ เริ่มจากน้อยๆก่อน ง่ายดี
3. เก็บแบงค์ 50 บาท หลายๆ ท่านก็ชอบใช้วิธีออมนี้ แต่ก็มีหลายท่านบอกว่า ไม่ค่อยได้แบงค์ 50 เลย แต่จริงๆ แล้วที่ผ่านมาเราอาจจะไม่ได้สนใจมันมากก็ได้นะคะ ลองให้ความสนใจกับแบงค์ 50 สิคะ แล้วคุณจะรู้ว่าแต่ละวันคุณได้แบงค์ 50 มากกว่าที่คุณคิดไว้อีกค่ะ
4. เก็บเหรียญ หรือแบงค์เก่า บางท่านก็สะสมแบงค์เก่านะคะ หรือปีที่มีเลข พ.สวยๆ เขาก็เก็บกัน เผื่อขายได้ ได้ราคาดีด้วยค่ะ
5. ใช้วิธีเก็บทบต้นทบดอก เช่น ตั้งใจจะงดน้ำชา กาแฟ เครื่องดื่มน้ำอัดลม แต่ถ้าอยากกินจริงๆ ยังไงก็ต้องกิน ให้จ่ายเงินจำนวนเท่ากันลงในกระปุก เช่น กาแฟแก้วละ 30 บาท คุณจ่ายให้ทางร้านไปแล้ว คุณก็มาเก็บอีก 30บาทนี้ไว้ในกระปุกออมสินด้วย
6. แบ่งเงินไปทำงาน วันละเท่าๆกัน บางท่านก็ใช้วิธีพับใส่ถุงใส ง่ายต่อการพกพา
7. เก็บเงินใส่กระปุกที่ติดฉลากตัวโตๆ เช่น ใช้จ่ายในบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ  ค่าผ่อนรถ ค่าใช้จ่ายส่วนตัว รวมไปถึงค่าตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยก็ได้นะคะ Woww !
8. น้ำไฟ ใช้สอยอย่างประหยัด ข้อนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆค่ะ อันไหนที่เราประหยัดได้เราก็ประหยัดนะคะ เป็นการรักษ์โลกด้วยอีกทางหนึ่งค่ะ
9. ก่อนจะซื้อของใหม่ ต้องแน่ใจว่าเครื่องสำอางที่ซื้อมาแล้วใช้หมดจริงๆ สาวๆก็น่าจะมีพฤติกรรมแบบนี้หลายท่านอยู่นะคะ เพิ่งสั่งซื้อของไป แต่สายตาก็หันไปเหล่ของใหม่ซะแล้ว ทางที่ดีเราใช้ของเดิมให้หมดก่อนจะดีกว่าค่ะ
10. ทำอาหารกลางวันไปกินที่ทำงาน  วิธีนี้ช่วยลดค่าข้าวที่มีราคาแพงขึ้นได้เยอะเลย จะทำกับข้าวไปเองแล้วทานกับเพื่อนๆ ที่ทำงานก็ได้นะคะ
11. โละแลกแจกขาย ของใช้ในบ้าน รื้อบ้านแล้วแยกของไว้เป็นกองๆเลยค่ะ อันไหนสภาพดีก็แบ่งไว้ บริจาค หรือขายต่อ อย่างน้อยๆก็ได้เงินทุนมาซื้อของใหม่ด้วยนะคะ
12. ซื้อสลากออมสิน สลากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) เป็นเงินออมและได้ลุ้นรางวัลในแต่ละเดือนด้วยค่ะ
13. ซื้อทอง หากคุณมีเงินเย็นลองซื้อทองเก็บไว้เก็งกำไรตอนที่ราคาทองขึ้นก็ดีเหมือนกันนะคะ
14. ทำรายได้พิเศษเพิ่มสิจ๊ะ รออะไร ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เดี๋ยวนี้คุณไม่จำเป็นต้องเช่าที่ร้านแพงๆก็ได้ แค่ขายของออนไลน์ก็เก็บเงินเข้ากระเป๋าได้ง่ายๆ แล้วล่ะ
15. หางานประจำใหม่ที่มีรายได้ และหรือ วันหยุดมากกว่าเดิม
16. เก็บเศษสตางค์ เช่น 25 สตางค์ หรือ 50 สตางค์ ไปซื้อของใน 7-11 ได้
17. ชวนเพื่อนออมด้วยกันค่ะ  วิธีนี้ก็เป็นอีกวิธีที่ดี การเห็นเพื่อนออมก็จะช่วยให้คุณมีความตั้งใจมากยิ่งขึ้นค่ะ
เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะกับ 17 วิธีออมเงิน ง่ายๆ อย่างฉลาด เห็นไหมล่ะคะ ว่าส่วนใหญ่เป็นวิธีออมที่ทำได้ง่ายๆทั้งนั้นเลย เป้าหมายน่ะ จะตั้งให้ท้าทายยังไงก็ได้ค่ะ แต่ขึ้นอยู่กับตัว คุณด้วยนะคะ ว่าจะมีวินัยในการออมมากน้อยแค่ไหน

38. เช็คด่วน ! 10 นิสัยแบบนี้ไหม ที่ทำให้คุณไม่ประสบความสำเร็จ

คนเราทุกคนล้วนอยากจะไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะทางใดก็ทางหนึ่ง แต่แม้จะมีเป้าหมายที่คล้ายๆกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จเหมือนกันทุกคนเสมอไป คุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงว่าจะล้มเหลวอยู่หรือเปล่า มาเช็คอุปนิสัยที่ทำให้คุณไม่ก้าวหน้ากันเถอะ

10 นิสัยที่ทำให้คุณไปไม่ถึงความสำเร็จ

1.ขาดความเชื่อมั่นว่าคุณทำได้ สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เมื่อคุณตั้งใจจะทำอะไรแล้ว ต้องมั่นใจในตัวเอง พุ่งเข้าใส่เป้าหมายให้เต็มที่ เตรียมตัวให้พร้อมว่าคุณจะไปถึงเป้าหมายได้อย่างไร ถึงจะผิดหวัง คุณก็จะแค่เซๆ ไม่ถึงกับล้มดัง หลังจากนั้นคุณก็เดินต่อไปได้ตามเดิม
2.เอาแต่ทำงาน หักโหมมากไป จนร่างกายอ่อนล้า สมองตื้อตันคิดงานดีๆ ไม่ออก ดีไม่ดีต้องเอาเงินรายได้ไปจ่าย ค่าหมอ ค่ายาแทนอีกต่างหาก
3.ใช้อารมณ์ตัวเองในทุกๆเรื่อง ถ้าสิ่งที่คุณทำมันไม่เกี่ยวข้องกับใครก็แล้วไป แต่หากมันเป็นธุรกิจซึ่งต้องเกี่ยวข้อง กับคนหลายๆฝ่ายล่ะ คงไม่ดีแน่ หากคุณไม่ใช้เหตุผลพิจารณาข้อดี-ข้อเสียของงานที่ทำอยู่เลย
4.มีเป้าหมายแต่ไม่วางแผน Planning (การวางแผน) ก็เลยกลายเป็น แพลน-นิ่ง หยุดนิ่งไปซะอย่างนั้น ไม่ขยับแนวทาง หรือวิธีการที่จะไปสู่เป้าหมายอีกเลย เมื่อเป้าหมายอยู่อย่างเลื่อนลอย แล้วประตูแห่งความสำเร็จมันจะเดินมาหาคุณถูกไหมล่ะ
5.ไม่ยอมพัฒนาตัวเอง คุณอาจจะมีความรู้ที่ดี แต่ความรู้นั้นล้าสมัยเกินไปหรือเปล่า อาจจะไม่เข้ากับเหตุการณ์ใน ปัจจุบันนี้ไหม การไปเข้าคอร์สอบรม การอ่านหนังสือเพิ่มเติม หรือดู Youtube ที่บ้าน ก็ช่วยแก้ข้อด้อยของคุณได้ทั้งนั้น ที่สำคัญคือ คุณจะเปิดใจรับหรือเปล่าเท่านั้นเอง
6.มีข้ออ้างมากไป เรายังไม่พร้อม เราไม่ได้เรียนด้านนี้มา เราไม่มีตลาด เราทำไม่เป็น และที่สำคัญชอบคิดว่า
“เดี๋ยวก่อนก็ได้” หากคุณคิดแบบนี้ละก็ โอกาส ก็คงจะตอบกลับคุณว่า “งั้นก็เดี๋ยวก่อนเช่นกัน”
7.ขาดมนุษยสัมพันธ์ที่ดี สิ่งนี้อาจทำให้เกิดความแตกแยก ความไม่สามัคคีกันในหมู่คณะ หากงานนั้นๆเป็นงาน ที่ต้องทำร่วมกันเป็นทีม จิ๊กซอเพียงชิ้นเดียวคงต่อให้เป็นภาพใหญ่ขึ้นมาไม่ได้จริงไหมล่ะ
8.เป็นนักพูด แต่ไม่ใช่นักฟัง คุณพูดเก่งได้ แต่คุณต้องฟังให้เป็นด้วย หากคุณพูดอยู่ฝ่ายเดียว คุณก็ไม่รู้ว่าคู่สนทนา ต้องการอะไร แล้วคุณจะเข้าไปนั่งในใจผู้อื่นได้อย่างไร
9.เอาแต่คิดถึงความผิดหวัง ทั้งที่เคยเกิดขึ้นแล้ว และยังไมได้เกิดขึ้นเลย คุณกลัวว่ามันจะผิดหวัง นอกจากจะทำให้ ตนเองเป็นทุกข์แล้ว ยังอาจทำให้ผู้อื่นต้องเสียใจเพิ่มขึ้นด้วย คุณจึงตั้งความหวังเอาไว้ทวีคูณ ในขณะที่การกลัวความผิดหวังก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัวทวีคูณเช่นกัน พอคิดแบบนี้ เลยยิ่งถดถอยออกห่างจากความสำเร็จเข้าไปทุกที
10.ติดสังคมออนไลน์มากเกินไป บางครั้งในขณะที่ทำงานคุณอาจต้องให้ความสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากยิ่งขึ้น การเช็คอินเตอร์เน็ตก็ทำได้ แต่ไม่ควรใช้เวลามากเกินไป เอาเวลามาคิดงานหลักๆให้เสร็จเสียก่อนดีกว่า มิฉะนั้นอาจจะเหลือเวลาที่ทำงานน้อยลง แล้วงานก็จะออกมาไม่ดีด้วย
จาก 10 ข้อที่กล่าวมานี้ ก็เป็นการเช็คนิสัยตัวเองแบบง่ายๆ ว่าเราอยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะไม่ประสบความสำเร็จ หรือเปล่า หากรู้ตัวแล้วก็รีบปรับปรุงแก้ไขเถอะค่ะ สายน้ำไม่คอยท่า วันเวลาไม่คอยใครนะ
Credit: http://www.siamarcheep.com/10habit.html

37. อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองมั้ย?


อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองมั้ย?

ผมเชื่ิอว่าทุกคนเคยคิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เราเป็นคนช่างคิด แต่ไม่ใช่คนช่างทำ

เราอยากเป็นคนยิ้มง่าย ไม่เครียด แต่พอเจออะไรกระทบใจนิดเดียว ก็โกรธ อารมณ์เสียทั้งวัน

อยากลดความอ้วน แต่ก็ไม่เคยควบคุมอาหาร ยังตามใจปากอยู่เลย

อย่ารอให้คนมาบ่นเยอะๆก่อน แล้วค่อยทำ

อย่ารอให้ถึงวันเข้าพรรษาแล้วค่อยเลิกเหล้า

อย่ารอให้ถึงเดตไลน์แล้วค่อยส่งงาน

อย่ารอให้คนอื่นทำสำเร็จก่อน เราถึงค่อยทำ

อย่ารอให้มีเวลาก่อน ถึงค่อยออกกำลังกาย

อย่ารอให้เราพร้อมก่อน ถึงจะลงมือทำ

และอีกมากมาย

ผมเชื่อว่าคนเราไม่ชอบรออะไร แล้วเราจะรอมันไปทำไมละ ทำไมเราไม่ลงมือทำ

อย่ายึดติดกับสิ่งเดิมๆ ความรู้สึกเดิมๆ จนไม่กล้าเปลี่ยนอะไร

ถ้าเราอยากพิสูจน์ตัวเอง ว่าเราก็เก่งนะ เรามีดีพอ ก็ขอให้ลองดู

ใครที่เคยดูถูกหรือสบประมาทเราไว้ ทำให้เขารู้ว่า มันคิดผิด!!!

เรามาเปลี่ยนตัวเองกันดีกว่า ^^

ถ้าเราไม่รักตัวเอง ไม่เคยดูแลตัวเอง แล้วใครจะมารักเรา

เราชอบหาข้ออ้าง ในสิ่งที่เราไม่มี

ไม่มีใครมีครบทุกอย่าง ทุกด้านหรอก

มันต้องมีก้าวแรกเสมอ สู้ๆครับ


Credit: https://web.facebook.com/lazar.markovic555

36. 10 อุปนิสัยแห่งความโชคดี


10 อุปนิสัยแห่งความโชคดี
ดักลาส มิลเลอร์ (Douglas Miller) นักเขียนนักพูด นักฝึกอบรม และโค้ชด้านอาชีพชื่อดัง เป็นอีก
คนหนึ่งซึ่งเชื่อว่า โชคดีไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ เขาเขียนหนังสือ “THE LUCK HABIT” ซึ่งระบุถึงปัจจัยแห่งความโชคดีไว้ดังนี้คือ
.
1 "รู้จักตนเอง"
รู้ว่าอะไรที่สำคัญกับชีวิตบ้างเพื่อจะได้ทุ่มเทใช้ชีวิตไปให้ถูกทาง
.
2 "มีเป้าหมาย"
ทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้เกิดแรงจูงใจและมีทิศทางในการใช้ชีวิตอย่างชัดเจน
.
3 "กระตือรือร้น"
สดชื่นอยู่เสมอ ใส่ใจกับทุกสิ่งที่ทำ อยากรู้อยากเห็นสนใจเปิดรับเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆเสมอ
.
4 เชื่อมั่น “ทำได้” และ “จะทำ”
การมีความรู้และทักษะต่าง ๆ แม้จะก่อให้เกิดความมั่นใจ แต่ยังไม่พอ ต้องสร้างแรงจูงใจว่า “อยากทำ” ด้วย เพราะความเชื่อมั่นและแรงจูงใจจะช่วยให้ประสบความสำเร็จในชีวิต
.
5 "อย่าขี้เกียจ"
ต้องทำงานหนัก การทำงานหนัก หมายถึง หมั่น “ตรวจสอบ” ตัวเองอยู่เสมอ ว่ามีอะไรที่ต้องปรับปรุงหรือพัฒนา จากนั้นจึงฝึกฝนทักษะใหม่ ๆ นั้นให้เชี่ยวชาญ
.
6 " อย่ากลัวอย่ากังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิด "
เพราะความกดดันอาจทำให้เกิดความผิดพลาดได้ คิดไว้เสมอว่า ทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้โดยการจัดการอย่าง
มีสติและเป็นขั้นเป็นตอน
.
7 " ล้มบ้างก็ได้ แพ้บ้างก็ดี "
เรียนรู้จากความล้มเหลวหรือความพ่ายแพ้เพื่อไม่ให้เกิดซ้ำอีก
.
8 " เปิดกว้างรับฟังความคิดเห็น "
ให้คิดว่าทั้งคำชมและคำวิจารณ์ ถือเป็น“ของขวัญ” และ “โอกาส” ในการพัฒนาตนเอง
.
9 " สัมพันธภาพเป็นสิ่งสำคัญ "
ไม่ใช่แค่หมั่น “สร้าง” ให้เพิ่มขึ้น แต่ต้องหมั่น“รักษา” สิ่งที่มีอยู่ไม่ให้ขาดหาย ยิ่งคุณรู้จักผู้คนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นประโยชน์มากเท่านั้น
.
10 " มองเห็นโอกาส "
ไม่รอให้โอกาสมาหา แต่ขวนขวายสร้างโอกาสให้ตัวเอง ขณะเดียวกันต้องเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ อยู่เสมอ เช่น พัฒนาความรู้ความสามารถและทักษะเพื่อสร้างโอกาสนั้นให้เป็นจริง อย่าสร้างอุปสรรคปลอม ๆ มาบั่นทอนความมั่นใจของตนเองเช่น ฉันทำไม่ได้หรอก ฉันไม่เก่ง
.
ดักลาส มิลเลอร์ ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจว่า คนที่มีอุปนิสัยแห่งความโชคดีจะให้ความสำคัญกับ
การสร้างความโชคดีเสมอ และไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปโดยไม่ได้ทำอะไรเลยอย่างแน่นอน
.
เรื่อง Horizon
.
ที่มา : เว็บ secret-thai

35. 10 บทเรียนชนะธุรกิจจากถังฉลาม ..Shark Tank !!


10 บทเรียนชนะธุรกิจจากถังฉลาม ..Shark Tank !!

รายการนึงที่เกี่ยวกับธุรกิจที่ผมชอบดูคือ Shark Tank เป็นรายการที่มันส์แบบแนวๆ คนชอบธุรกิจ เพราะ มันดูมีความหวัง คือ ใครมี Idea ก็สามารถหานำเสนอขอเงินทุนจาก Shark ซึ่งล้วนเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ -- ดูมีความหวังว่างั้นเถอะ ..ขอให้คุณมี Idea คุณก็เอาเศรษฐีมาเป็นพี่เลี้ยงพร้อมได้เงินทุนจากเศรษฐีมาช่วยสร้างธุรกิจ ...แม่เจ้า!! มันสุดยอดมาก

หนึ่งใน Shark ที่ผมชอบมาก คือ Robert Herjavec ..ชายคนนี้เป็น Self-made Millionaire ธุรกิจ IT ..เขาได้ให้คำแนะนำ 10 ข้อ ไว้ในนิตยสาร Entrepreneur อย่างน่าสนใจ ดังนี้

1. "เชื่อในธุรกิจและความคิดของตัวเอง" ..ทุกวันนี้โลกเต็มไปด้วยธุรกิจ ..มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเหลือที่ว่างในโลกให้เราทำธุรกิจ ดังนั้น จงหา Idea ที่มันดูไม่เข้าท่าที่หาเงินได้ ...ใช่!! อย่าทำธุรกิจที่ใครๆ ก็เห็นว่าดี เพราะ สิ่งนั้นทำไปก็มีคู่แข่งจำนวนมาก -- ให้หาธุรกิจที่ทำเงินได้ แต่ใครๆ ก็บอกว่า "มันไม่เข้าท่า" .."มันไม่ work หรอก" ...ทำอันนั้นแหละ  !!

2. "ทดลอง Idea ธุรกิจด้วยตัวเอง" ..อย่าถามเพื่อน พ่อ แม่ พี่น้อง เพราะ ถ้าคุณเอา Idea ธุรกิจไปถาม เขาจะตอบว่าไม่ work เพราะ ถ้าเขาเห็นโอกาสนั้น เขาคงสำเร็จ และ ร่ำรวยไปนายแล้วจริงไหม ? ...สิ่งที่คุณต้องทำ คือ ลองขายสินค้านั้นจริงๆ ..ลองตลาดจริง ...คุณไม่รู้หรอกว่ามันจะขายได้ เพราะ ครั้งแรกที่ Apple ทำ iPhone เขาก็ไม่แน่ใจว่าจะขายได้หรือเปล่า ?

3. "อย่าเชื่อคนง่ายนัก" ..มันไม่สำคัญหรอกว่าใครจะพูดอย่างไร ใครอยากลงทุนในธุรกิจคุณ ใครอยากซื้อสินค้าคุณ จนกว่าเงินจะอยู่ในมือคุณ นั่นแหละ ของจริง ..."คนอยากลงทุนในธุรกิจคุณ ไม่ได้แปลว่า เขาอยากลงทุนจริงๆ จนกว่าคุณจะได้เงิน" ..."คนอยากซื้อสินค้าคุณ ไม่ได้แปลว่า เขาจะซื้อสินค้าคุณจริงๆ จนกว่าคุณจะได้เงิน" ..ไม่ได้สอนให้หน้าเงิน แต่อยากให้เราอยู่กับโลกความจริงก็เท่านั้น

4. "เตรียมเงินก้นถุง เผื่อเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด" ..คนที่ไม่มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจ มักมองโลกสวย คิดว่า ทุกปัญหาแก้ได้ เมื่อวิกฤตมาแล้วก็ผ่านไป ...แต่ลืมไปว่า "ตัวเราไม่ได้เตรียมการสำหรับวิกฤต" ..คนที่ผ่านวิกฤตได้ ก็คือ คนที่เคยล้มเหลวมาแล้ว ...คนเหล่านี้รู้ว่า เวลาซวย ซ้อนซวย และ ซ้อนซวย ..แล้วโดนกระทีบซ้ำ เจ๊งหุ้น ธนาคารทวงหนี้ พร้อมการหักหลังจากเพื่อนสนิท และ แฟนมีกิ๊ก -- มันเกิดพร้อมกันได้ในวันที่เราพลาด ...คำถามคือ "คุณพร้อมรับมือหรือไม่" ? -- เชื่อไหมว่า คนที่เคยล้มแรงๆ มาแล้ว เขาเตรียมรับสิ่งเหล่านี้ไว้เสมอ !! (โหดสัด เพราะ นี่คือ ชีวิตจริงครับ)

5. "ช้างเหยียบหนูที่กำลังวิ่งไม่ได้" ..ในทุกธุรกิจ ล้วนมียักษ์ใหญ่อยู่ก่อนแล้ว ..ให้แน่ใจว่า หนู อย่างเรา วิ่งไม่หยุด สับขาหรอก ใช้ความเร็ว ความแปลก ความใหม่ ความสด เข้าต่อสู้ ...อย่าเป็นหนูที่ยืนเฉยๆ เพราะ ช้างจะเหยียบธุรกิจคุณจมดินทันที !!

6. "หัดวิ่งมาราธอน" ..การวิ่งมาราธอน จะสอนสองเรื่อง หนึ่ง มันสอนว่า ใจเราเหนือร่างกาย ..เราวิ่งต่อได้ แม่ร่างกายไม่ไหว เพราะใจยังวิ่งอยู่ / สอง มันสอนว่า ความอดทน นำมาซึ่งชัยชนะ ...โลกธุรกิจและการลงทุน ความเก่ง เป็นรองความอึด ...เต่าชนะกระต่ายได้ ในเกมธุรกิจ เพราะ มันไม่หยุดเดิน !!

7. "ให้ล่าต่อ แม้ว่าเราจะอิ่มก็ตาม" ..ในชีวิตจริง เราไม่รู้หรอกว่า โอกาสที่ดีที่สุดจะวิ่งเข้ามาเมื่อไหร่ ...และเรื่องแปลกคือ โอกาสมักวิ่งเข้ามาในเวลาที่เราไม่เตรียมตัว ...หลักความสำเร็จ คือ เตรียมตัวล่าโอกาสเสมอ แม้ในเวลาที่คุณไม่คิดจะล่าก็ตาม

8. "ไม่มีคำว่า Work/Life Balance ในชีวิตจริง" ...คำนี้เท่ห์ และ ใช้ได้ถ้าพ่อคุณรวย ..แต่ถ้าคุณ คือ คนที่ต้องสร้างตัวด้วยตัวเอง ...เจ้าของธุรกิจจริงๆ ทำงานหนักกว่าลูกน้อง และ การเลือกที่จะทำธุรกิจ ก็คือ เราเลือกที่จะไม่มีวันหยุด เพราะ เจ้าของธุรกิจต้องพร้อมรับผิดชอบเสมอไม่เว้นวันหยุดราชการ ...นี่คือ สิ่งที่คูรต้องแลกกับความสำเร็จและความร่ำรวย ...สรุป ชิวได้ถ้าพ่อรวย นอกนั้น ไม่มีข้อยกเว้น ..สู้โว้ย !!

9. "ไม่มีใครได้ทุกอย่างพร้อมกัน" ..คำถาม คือ คุณพร้อมจะแลกอะไรบ้าง กับความสำเร็จ และ ชีิวิตส่วนตัว ..สิ่งที่เราเห็นทุกวันนี้ คือ การใช้ชีวิตของคนรวย หลังจากที่เขาประสบความสำเร็จแล้ว ...การใช้ชีวิตแบบคนรวย ไม่มีทางรวย ...ถ้าอยากสำเร็จ ต้องสร้างชีวิตแบบคนรวย "สร้าง !!!"  -- ลองไปดูขั้นตอนการ"สร้างชีวิต"ซิ ว่ามันตรงข้ามกับการ"ใช้ชีวิต" ที่เราเห็นใน Facebook หรือ Instagram

10 "คนสำเร็จ เขามีวิธีการสำเร็จเหมือนๆกัน ..แล้วคุณล่ะ" ..คนสำเร็จ มองงานคือ ความสนุก / คนส่วนใหญ่มองงานคือ ความทุกข์ ...คนสำเร็จ คิดให้ก่อนรับ ...คนสำเร็จ มักเป็นคนที่ทำให้ลูกค้าและลูกน้องได้สิ่งที่เขาต้องการ ..คนสำเร็จสนุกกับงานที่ทำ แล้วไม่คิดจะเกษียณจากสิ่งที่ทำ ...คนสำเร็จ คิดบวก มองวิกฤตเป็นโอกาส ..แต่คนส่วนใหญ่ อยากเกษียณวันนี้ ไม่เคยชอบงานตัวเอง หาแต่เวลาเพื่อใช้เงิน แต่ไม่เคยหาโอกาส ..มองวิกฤตเป็นโชคร้าย และ ไม่เคยเห็นโอกาส (บ้าแต่จริง)

แปลกดี ที่คนส่วนใหญ่ยังรอความสำเร็จและโอกาสวิ่งเข้ามาหา ...แต่คนสำเร็จ เขาค่อยๆ สร้างโอกาสและความสำเร็จทุกๆ วันของชีวิต

แล้วคุณล่ะ มีกี่ข้อแล้ว ...ถ้ามีเกิน 7 ข้อ "ไม่ต้องไปหาหมอดูแล้ว" ผมฟันธงเลยว่า "คุณจะรวยในที่สุดครับพี่น้อง"
#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น

http://www.entrepreneur.com/article/240869

34. 10 กลยุทธ์ชนะศึก ส่วนนึงของ "ซุนวู"


10 กลยุทธ์ชนะศึก ส่วนนึงของ "ซุนวู"
“พื้นฐานต้องดี ไม่งั้นฝึกร้อยปี อยู่กับที่”
.
(เนื้อหาอาจจะเข้าใจยากหน่อยต้องตีความ และลองนึกตามดูครับอันไหนใช้ได้ก็เก็บไป ถ้าไม่เข้าใจก็ผ่านเลยครับ เปรียบเหมือนคู่แข่งทางธุรกิจคือ ข้าศึก)
.
.....กลยุทธ์ที่ 1 ปิดฟ้าข้ามทะเล
กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า สิ่งที่ตนคิดว่าได้ตระเตรียมไว้อย่างพร้อมมูลแล้ว ก็มักจะมึนชาและประมาทศัตรูได้ง่าย สิ่งที่พบเห็นอยู่เสมอในยามปรกติก็ไม่เกิดความสงสัยอีกต่อไป
.
.....กลยุทธ์ที่ 2 ล้อมเว่ยช่วยเจ้า
กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อข้าศึกรวมศูนย์กำลังพลไว้ ควรจะใช้กลอุบายดึงแยกข้าศึกออกไป ทำให้กำลังพลกระจัดกระจาย ห่วงหน้าพะวงหลัง ครั้นแล้วจึงเข้าโจมตี นี้ก็คือ “ศัตรูรวมมิสู้ศัตรูแยก” และตำราพิชัยสงครามในสมัยโบราณ ขนานนามยุทธศาสตร์การส่งทหารเข้าบุกข้าศึกก่อนเป็น “ศัตรูแจ้ง” ส่วนยุทธศาสตร์กำราบข้าศึกทีหลังเป็น “ศัตรูมืด”
.
.....กลยุทธ์ที่ 3 ยืมดาบฆ่าคน
กลยุทธ์นี้มีความหวายว่า เมื่อศัตรูปรากฏแน่ชัด แต่มิตรยังลังเล สิ่งที่พึงกระทำก็คือล่อให้พันธมิตรออกไปปะทะศัตรู นี้เป็นกลวิธีอย่างหนึ่งใช้ความขัดแย้ง ยืมกำลังของคนอื่นไปทำลายศัตรู เพื่อรักษากำลังตนเองไว้ แต่การยืมเช่นนี้จะต้องให้แนบเนียน มิฉะนั้นแล้วก็ไม่อาจทำลายศัตรูได้ กลับอาจถูกศัตรูย้อนรอย
.
.....กลยุทธ์ที่ 4 รอซ้ำยามเปลี้ย
กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อประสงค์จักทำให้ข้าศึกตกอยู่ในภาวะลำบาก ไม่แน่ว่าจะต้องใช้วิธีรบแต่ฝ่ายเดียว อาจจะใช้วิธี "แกร่งเสียอ่อนได้” ตามที่กล่าวไว้ใน “คัมภีร์อี้จิง สูญเสีย เมื่อให้ได้รับชัยชนะก็ได้”
.
.....กลยุทธ์ที่ 5 ตีชิงตายไฟ
กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อข้าศึกอยู่ในภาวะวิกฤติ ควรฉวยโอกาสรุกรบโจมตี เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ หรือให้ผู้เข้มแข็งออกโรงเข้าแทรกแซงให้ผู้อ่อนกว่ายอมสยบด้วย นี้ก็คือที่เรียกว่า “ใช้ความแกร่งพิชิตความอ่อน”
.
.....กลยุทธ์ที่ 6 ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม
กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า การโจมตีศัตรู จะต้องเตรียมการและบุกโจมตีในจุดที่ศัตรูต่างคาดไม่ถึงเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ศัตรูวางแนวการตั้งรับได้ถูก โดยหลอกล่อศัตรูให้เกิดการหลงทิศกับการบุกโจมตีและนำกำลังทหารไปเฝ้าระวังผิดตำแหน่ง เกิดการหละหลวมต่อกำลังทหารและเปิดโอกาสให้สามารถเอาชนะได้โดยง่าย 
.
.....กลยุทธ์ที่ 7 มีในไม่มี
กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ให้ใช้ภาพลวงล่อหลอกข้าศึก แต่มิใช้จะล่อลวงจนถึงที่สุด หากแต่เพื่อแปรเปลี่ยนจากลวงเป็นจริง ทำให้ข้าศึกเกิดความหลงผิด ที่ว่า “ลวง” ก็คือ “หลอกลวง” ที่ว่า “มืด” ก็คือ “เท็จ” จากมืดน้อยไปถึงมืดมาก จากมืดมากแปรเปลี่ยนเป็นสว่างแจ้ง ก็คือใช้ภาพลวงปกปิดภาพจริง ผันจากเท็จลวงให้กลายเป็นแท้จริงแท้ นี้เป็นเรื่องในการศึกเท็จลวงและแท้จริงแท้สลับกันเป็นฟันปลา ในจริงมีเท็จ ในเท็จมีจริง
.
.....กลยุทธ์ที่ 8 ลอบตีเฉินชัง
กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ในการศึก ใช้โอกาสที่ฝ่ายข้าศึกตัดสินใจจะรักษาพื้นที่ แสร้งทำเป็นจะโจมตีด้านหน้า แต่เข้าจู่โจมในพื้นที่ที่ข้าศึกไม่สนใจอย่างมิได้คาดคิด ใน “คัมภีร์อี้จิง ประโยชน์” เรียกว่า “เข้าจู่โจมดุจพายุ” ซึ่งก็คือกลวิธีวกวนลอบเข้าจู่โจมอย่างเป็นฝ่ายกระทำ เข้าตีข้าศึกโดยมิได้ระวังตัว เอาชนะอย่างมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง
.
.....กลยุทธ์ที่ 9 ดูไฟชายฝั่ง
กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อประสบกับภาวะที่ข้าศึกแตกแยกวุ่นวายปั่นป่วนอย่างหนัก พึงรอให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสงบ หากข้าศึกใช้ความป่าเถื่อนแก่กัน ต่างพิพากเข่นฆ่ากัน แนวโน้มก็จักพาไปสู่ความวินาศเอง ในเวลาเยี่ยงนี้จำต้องปฏิบัติให้คล้อยตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพข้าศึก ตระเตรียมไว้ก่อนล่งหน้า เพื่อดำเนินการให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ชิงมาซึ่งชัยชนะโดยใช้การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของทางฝ่ายข้าศึกให้เป็นประโยชน์
.
.....กลยุทธ์ที่ 10 ซ่อนดาบบนรอยยิ้ม
กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า จะต้องทำให้ข้าศึกเชื่อว่าเรามิได้เคลื่อนไหวอะไรเลย จึงสงบไม่เคลื่อนเช่นกัน ทั้งเกิดความคิดมึนชาขึ้น แต่เรากลับดำเนินการตระเตรียมเป็นการลับ รอคอยโอกาส เพื่อที่จะออกปฏิบัติการ โดยฉับพลันทันที แต่ต้องระวังมิให้ข้าศึกล่วงรู้ก่อน อันจะทำให้สภาพการณ์เกิดเปลี่ยนแปลงไป

33. แพ้เป็นถ่าน ผ่านเป็นเพชร


"แพ้เป็นถ่าน ผ่านเป็นเพชร"
.
เปรียบเทียบเรื่องจริงในชีวิตคน "ถ่านกับเพชร" สร้างด้วยต้นทุนเดียวกันคือ คาร์บอน
.
คาร์บอน ที่ไม่ได้ผ่านแรงอัด แรงกดดันอะไร อยู่ตามธรรมชาติ ก็จะกลายเป็นถ่าน
.
ในขณะที่ คาร์บอน ที่ผ่านแรงอัดอย่างหนัก เป็นเวลานาน ๆ คาร์บอนที่สามารถผ่านออกมาได้ โดยไม่แตกไปเสียก่อน ถึงจะกลายเป็น "เพชร"
.
เราถึงได้ยินว่า เพชร แท้ที่จริง มันแข็งมาก ... เหตุที่มีค่า เพราะความยากนี้เอง
.
"ชีวิตคนเรา ก็คล้ายกัน เรื่องถ่านกับเพชร"
.
ชีวิตแบบ "ถ่าน"
เช่น คนที่รักสบาย อยู่ไปเรื่อย เมื่อไหร่มีแรงกดดัน แทนที่จะสู้ ก็บ่นว่าแล้วก็หนีไป ตั้งเป้าในชีวิตแบบต่ำๆ ทำยาวๆ ไม่สนใจเรียนรู้ ไม่อยากพัฒนา เป็นน้ำเต็มแก้ว รู้ไปทุกเรื่อง แต่ไม่เคยทำจนสำเร็จสักเรื่อง ชอบพูดมากกว่าชอบทำ คิดเยอะ ส่วนใหญ่ก็ลบมากกว่าบวก โทษไปได้หมดทุกเรื่อง ยกเว้นอย่างเดียว คือ โทษตัวเอง ... ผลสุดท้าย ก็ไม่เคยได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
.
ชีวิตแบบ "เพชร"
คนกลุ่มนี้ มองตาก็เข้าใจได้ เห็นเรื่องที่ต้องผ่าน เป็นเรื่องที่พิสูจน์ตัวเอง พูดน้อย ทำมาก ไม่ล้มเลิก เกาะติด พากเพียร ยอมแลก อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ไม่ท้อ เป้าหมายมีไว้พุ่งชน อารมณ์ประมาณนั้น ขณะที่หลายคนมองว่า คนกลุ่มนี้ลำบาก เขาเองกลับไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนั้น
.
ใครบอกชีวิตไม่มีทางเลือก คำๆนี้ มีผลแค่ "พวกถ่าน"
ส่วน "พวกเพชร" ไม่สนใจยังคงมุ่งหน้าต่อไป
.
หลายคนรอชะตาฟ้ากำหนด รอความโชคดี .
.. รู้มั๊ยความหมายของคำว่า โชคดี ที่แท้คืออะไร
โชคดี = โอกาส + การเตรียมพร้อม
ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง มันก็จะไม่ใช่โชคดี แต่เป็นฟลุ้ค ซึ่งในชีวิตหนึ่ง การรอคอยอาจจะไม่ได้มา แม้ได้มาก็รักษาไว้ไม่ได้
.
จงเตรียมพร้อมไว้เสมอ โอกาสไม่มาวันนี้ก็ยังมี พรุ่งนี้!