ข้อแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดเกี่ยวกับความคิดเห็นเรื่องเงินทอง ระหว่างมหาเศรษฐีที่มีความสุขกับคนทั่วไป คือ คนปกติทั่วไปจะทำแค่เพียงทำงานหาเงิน แล้วนำมาเก็บออม โดยมุ่งเน้นไปที่การทำงานหาเงินให้ได้มากๆ ส่วนมหาเศรษฐีที่มีความสุขไม่คิดเช่นนั้น แต่พวกเขากลับหันไปใส่ใจเรื่องการใช้เงินและการทำเงินให้งอกเงยแทน
ขั้นตอนที่ 1 ใช้เงินให้ถูกต้อง
มหาเศรษฐีทั้งหลายมักจะให้ความสำคัญกับการหาความรู้ใส่ตัว ดังนั้น หากคุณไม่แน่ใจว่าควรจะใช้เงินไปกับเรื่องใด ทำไมไม่ลองเริ่มจากการเข้าร่วมสัมมนาที่รู้สึกสนใจดูล่ะ อย่าเสียดายเงินและเวลาที่ใช้ไปเพื่อการเรียนรู้เลย
ขั้นตอนที่ 2 เปิดหนังสือ ปิดโทรทัศน์
มหาเศรษฐีที่มีความสุขหลายต่อหลายคนรักการอ่าน เพราะการอ่านเป็นสิ่งที่ช่วยให้พวกเขาเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ได้ง่ายที่สุด โดยเฉพาะหนังสือประวัติศาสตร์ที่ช่วยสอนอะไรต่างๆ ได้มากมาย ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นคือ มหาเศรษฐีจำนวนมากไม่นิยมดูโทรทัศน์ยกเว้นการดูข่าว ด้วยเหตุผลที่ว่า เสียเวลาโดยใช่เหตุ ในทางตรงกันข้าม พวกเขากลับยินดีที่จะใช้เวลาไปกับกิจกรรมที่จะช่วยเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้นเช่น การอ่าน อย่างเต็มที่
ขั้นตอนที่ 3 อย่าตกกระแส
อย่าปฏิเสธเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ๆ การรับความรู้ความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยอย่างว่องไว ช่วยให้ปรับเปลี่ยนวิธีทำธุรกิจของตัวเองได้อย่างทันท่วงทีในทุกสถานการณ์ ส่วนการปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับยุคสมัยเก่าๆ นั้น คือลักษณะของมหาเศรษฐีที่ไร้ความสุข ดังนั้น อย่าลืมที่จะติดตามข้อมูลข่าวสารล่าสุดตลอดเวลา
ขั้นตอนที่ 4 ละเอียดรอบคอบเสมอกับเรื่องเงิน
เรียนรู้เกี่ยวกับ ความถูกต้องในการซื้อขายแลกเปลี่ยน เพราะการซื้อขายแลกเปลี่ยนใดๆ ก็ตามล้วนจำเป็นต้องมีกฎ คนที่คิดง่ายๆ ว่า “เงินแค่น้อยนิดเท่านั้น ช่างมันเถอะ” อีกหน่อยจะกลายเป็นคนใช้เงินมือเติบจนเสียเงินก้อนโตไปโดยไม่รู้ตัว อย่าลืมว่า แม้จะเป็นเงินจำนวนไม่มาก แต่ก็ต้องรอบคอบเสมอเมื่อเป็นเรื่องเงิน
ขั้นตอนที่ 5 อย่าลืมกฎเหล็กของการใช้จ่าย
กฎในการใช้จ่ายสำหรับคนที่เป็นมหาเศรษฐีคือ สิ่งนั้นต้องมีมูลค่าเหมาะสมกับจำนวนเงินที่จะจ่าย คนส่วนใหญ่มักจะไม่ฉุกคิดถึงเรื่องนี้เพราะความคุ้นเคยอยู่กับการถูกจำกัดด้วยบริการแบบกำหนด (ราคา) เองแต่เพียงฝ่ายเดียวของผู้ให้บริการ ดังนั้นพึงระลึกเสมอว่า จงจ่ายเงินให้กับสิ่งที่มีมูลค่าคู่ควร
ขั้นตอนที่ 6 อ่านคนได้ด้วยการจ่ายเงินค่าอาหาร
ในการทานอาหารร่วมกันเป็นครั้งแรก มหาเศรษฐีส่วนใหญ่มักจะอยากให้ทุกคนจ่ายค่าอาหารส่วนของตัวเอง (แชร์เท่าๆ กัน) และหลังจากนั้นพวกเขาจึงจะยินดีเป็นฝ่ายเลี้ยง ที่เป็นแบบนี้เพราะ ข้อแรกคือ เพื่อคัดกรองคนที่เข้าหาตนเพื่อหวังผลประโยชน์ อีกข้อคือ เป็นการทดสอบความจริงใจของอีกฝ่ายว่าพร้อมที่จะลงทุนเพื่อให้ได้ใช้เวลาร่วมกับตนหรือไม่
ขั้นตอนที่ 7 หนีให้พ้นจากชีวิตที่ถูกครอบงำ
การบริหารจัดการทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตด้วยตัวเอง แม้กระทั่งค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ ภายในบ้าน คือแนวทางของมหาเศรษฐี คนจำนวนไม่น้อยฝากชีวิตตัวเอไว้กับพ่อแม่จนกระทั่งถึงวัยทำงาน จากนั้นก็ฝากชีวิตไว้กับเงินเดือนที่ทางบริษัทให้เป็นค่าตอบแทน และหลังเกษียณก็ฝากชีวิตไว้กับเงินบำนาญ
การมัวแต่พึ่งพาเงินที่คนอื่นหยิบยื่นให้เช่นนี้จะทำให้ชีวิตต้องตกอยู่ภายใต้การถูกครอบงำตลอด และยากที่จะมีอิสรภาพทางการเงิน ซึ่งการจะผลักดันตัวเองให้พ้นจากสภาพดังกล่าว คุณจำเป็นจะต้องรู้จักกำหนดรายรับรายจ่ายของตัวเองให้ได้ราวกับว่าขณะนี้คุณกำลังบริษัทหารบริษัทหนึ่งบริษัท จงคิดให้เหมือนผู้บริหาร
นี่เป็นส่วนหนึ่งในมุมมองของมหาเศรษฐีที่ต่างจากคนทั่วไป ที่ไม่เสียหลายหากเราจะเปลี่ยนมุมมองคิดให้ได้อย่างมหาเศรษฐี เพื่อจะเป็นมหาเศรษฐี
ที่มา : หนังสือ ความลับเศรษฐี คนแบบนี้แหละดึงดูดเงิน โทนี่ โนะนากะ สำนักพิมพ์อัมรินทร์ฮาวทู